เทคนิคพื้นฐานสำคัญ 3 ประการ จากหนังสือ “ศิลปะการผูกมิตร และจูงใจคน”

หนังสือ “ศิลปะการผูกมิตร และจูงใจคน” แปลมาจากหนังสือ “How to Win Friends & Influence People” ที่ขายดีเป็นประวัติการณ์มากกว่า 16 ล้านเล่มทั่วโลก เขียนโดย เดล คาร์เนกี (Dale Carnegie) พิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1937 สิ่งนี้ทำให้ผมประหลาดใจมากๆว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ที่เขียนมาแล้วมากกว่า 70ปี!! ถึงขายได้ดีขนาดนี้ หลังจากได้อ่านแล้วพบว่าหลักต่างๆล้วนสำคัญและนำไปใช้ได้จริงทั้งนั้น เป็นหลักการที่ไม่ตาย ใช้ได้ทุกยุคสมัย บล๊อคนี้ผมขอสรุปแก่นสำคัญส่วนแรกจากหนังสือเล่มนี้ คือ เทคนิคพื้นฐานสำคัญ 3 ประการในการติดต่อกับผู้อื่น เป็นหลักการง่ายๆที่ถ้านำไปใช้แล้วก็จะทำให้การติดต่อระหว่างเรากับผู้อื่นนั้นดีขึ้นได้จริงๆครับ 🙂

หลักต่างๆจากหนังสือเล่มนี้เป็น “หลักปฏิบัติ” หมายความว่าเราจะเรียนรู้หลักเหล่านี้ได้ไม่ใช่แค่จากการท่องจำได้ แต่ต้องมีการนำไปใช้ หาโอกาสใช้ทุกครั้งที่มีจังหวะ แล้วจะทำให้เราจำหลักต่างๆได้อย่างดี ไม่เช่นนั้นเราก็จะลืมมันไปอย่างรวดเร็วครับ

เทคนิคพื้นฐานสำคัญ 3 ประการในการติดต่อกับผู้อื่น

1. อย่าตำหนิ วิจารณ์ ประณาม หรือบ่น

ไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองผิด เพราะฉะนั้น อย่าตำหนิ วิจารณ์ ประณาม หรือบ่นผู้อื่น เพราะมันไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร นอกจากนั้นมันยังสร้างความขุ่นเคืองใจ การต่อต้าน หมดกำลังใจ ให้กับผู้ถูกตำหนิหรือว่ากล่าว และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้ถูกตำหนิเป็นไปในทางที่แย่ลง ผู้ถูกเราว่าเค้าอาจจะกำลังต่อต้านเราหรือเถียงเราอยู่ในใจก็ได้ แม้เค้าอาจจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลังจากที่เราตำหนิเค้า แต่ก็ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ถาวร เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เต็มใจและไม่ยั่งยืน

ผู้แต่งยกตัวอย่าง นักฆ่าคราวน์ลีย์ ซึ่งเป็นฆาตกรที่เลือดเย็น ทำความผิดแบบเห็นๆ ขนาดตำรวจจับเค้าได้คาหนังคาเขา เค้าก็ยังไม่ตำหนิตัวเองไม่ว่าเรื่องอะไร แล้วคนทั่วไปที่เราพบเจอทุกวันล่ะ ย่อมไม่คิดว่าตัวเองผิดแน่นอนครับ

สิ่งที่เราควรจะทำแทนที่จะด่าว่าผู้คน คือ พยายามทำความเข้าใจว่าทำไมเค้าไม่ทำอย่างนั้น สิ่งนี้จะทำให้เราเกิดความเห็นอกเห็นใจ ความอดกลั้น และเมตตา ลองคิดอีกแง่นึงว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์และสภาพแวดล้อมเดียวกับเค้า หรือเราผ่านประสบการณ์มาแบบเค้า เราก็อาจจะทำอย่างนั้นก็เป็นได้

2. แสดงการชื่นชมที่ซื่อตรงและจริงใจ

วิธีเดียวที่จะทำให้ใครก็ตามทำสิ่งหนึ่งก็คือทำให้เค้า “เกิดความต้องการที่จะทำ” ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเค้า “ได้รับในสิ่งที่เค้าต้องการ” ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า ความต้องการของมนุษย์มีหลายอย่างครับ เช่น สุขภาพ อาหาร ที่พักอาศัย เงินทอง ชีวิตในอนาคต ความพึงพอใจทางเพศ ความเป็นอยู่ที่ดีของลูกๆ ความรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ โดยปกติคนทั่วไปจะได้รับความพึงพอใจกับสิ่งเหล่านี้เกือบทั้งหมด ยกเว้นสิ่งเดียวที่ขาดไม่ได้และก็ไม่ค่อยได้รับกัน นั่นคือ “ความต้องการเป็นคนที่ยิ่งใหญ่” หรือ “ความต้องการที่จะเป็นคนสำคัญ”

ชาร์ล ชวาบ หนึ่งในคนอันดับแรกๆในธุรกิจอเมริกาที่ได้รับเงินเดือนปีละกว่า 1 ล้านดอลล่าร์ (เมื่อประมาณ 70ว่าปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าเยอะมากๆแม้ตอนนี้เองก็ตาม) ชวาบกล่าวว่าเค้าได้รับเงินเดือนมากขนาดนี้ เพราะความสามารถของเขาในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งนี่คือความลับที่สำคัญยิ่งที่แสดงว่าเค้าทำได้ยังไง…

“ผมเห็นว่า ความสามารถของผมในการที่จะกระตุ้นความกระตือรือร้นของทีมงาน เป็นสมบัติอันมีค่าที่สุดที่ผมมีอยู่ และวิธีที่จะพัฒนาคนๆหนึ่ง ให้ไปถึงจุดที่ดีที่สุดได้ ก็โดยวิธีการชื่นชมและให้กำลังใจ”

ชวาบยังกล่าวว่า ไม่มีอะไรที่จะทำลายความมุ่งมั่นของคนๆหนึ่งได้มากเท่ากับการตำหนิวิจารณ์จากผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ชวาบไม่เคยตำหนิวิจารณ์ใครเลย เค้าเชื่อในการให้กำลังใจคนที่ทำงาน ดังนั้นเค้าจึงกระตือรือร้นที่จะให้คำชมด้วยความจริงใจ

เพราะฉะนั้น ขอให้เลิกคิดในมุมมองของความต้องการของเรา ขอให้พยายามค้นหาจุดดีของคนอื่น แสดงออกถึงความหยั่งรู้คุณค่าของคนรอบข้าง ให้การชื่นชมที่ซื่อตรงและจริงใจ แสดงออกด้วยความเต็มใจ และทุ่มเทให้อย่างมากมาย

3. กระตุ้นความอยากจะทำมากๆให้เกิดขึ้นในตัวผู้อื่น

คนโดยส่วนใหญ่ทั้งโลก สนใจแต่สิ่งที่พวกเขาต้องการทั้งนั้น วิธีเดียวที่จะจูงใจผู้อื่นได้ ก็คือ “พูดเกี่ยวกับสื่งที่พวกเขาต้องการ และแสดงให้พวกเขารู้ถึงวิธีที่จะได้มันมา” เพื่อกระตุ้นความต้องการที่จะทำมากๆให้เกิดขึ้นในตัวของอีกฝ่าย

ให้คิดในจุดยืนของคนอื่นอยู่เสมอ หยุดถามตัวเอง “ทำยังไงเค้าถึงอยากจะทำสิ่งนั้น?” มองจากมุมมองของผู้อื่นและกระตุ้นให้เขากระตือรือร้นอยากได้บางสิ่งบางอย่างนั้นโดยที่ทั้งเราและเค้าได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งคู่

ครบ 3 ข้อละครับของหลักปฏิบัติพื้นฐาน ครั้งหน้าจะสรุปแก่นสำคัญส่วนอื่นมาแชร์เพิ่มเติมนะครับ ใครคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับหลักการเหล่านี้บ้างครับ? 🙂