Connecting the Dots และจุดเริ่มต้นของ Priceza

ผมเคยได้ยินประโยค “Connecting the Dots” (การเชื่อมโยงจุดต่างๆเข้าด้วยกัน) มานานหลายครั้ง ผมรู้ว่าเป็นคำที่ สตีฟ จอบส์ พูดเอาไว้ แต่ผมไม่ได้เข้าใจมันลึกซึ่งมากนัก ผมนึกไปเองว่าผมเข้าใจ แต่พอผมได้ฟังบทสุนทรพจน์ของ สตีฟ จอบส์ ที่ให้ไว้กับนักศึกษาที่เรียบจบจากมหาวิทยาลัย Stanford แล้ว มันทำให้ผมเข้าใจเรื่อง “Connecting the Dots” มากขึ้น ผมขอเล่าเรื่องราวชีวิตของผมให้ฟังเรื่องนึงครับ

ในสมัยวัยเด็กช่วงวัยประถมศึกษา ผมได้รู้จักเกมส์คอมพิวเตอร์ครั้งแรกจากเครื่องเล่นเกมส์ Atari ผมจำได้เลยว่าเกมส์โปรดของผมกับพี่ชาย คือเกมส์โยนโบว์ลิ่ง ทุกๆวันอาทิตย์ เราสองพี่น้องก็จะกระตืนรือร้นกันตื่นแต่เช้าๆเพื่อเปิดเล่นวีดีโอเกสม์เล่นกันอย่างสนุกสนานครับ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชอบเล่นเกมส์ และเครื่องเล่นเกมส์ถัดไปที่ได้เล่น คือ เครื่องเล่นเกมส์คอนโซลสุดฮิตในยุคนั้น Family  จำได้เล่นว่าคุณแม่ซื้อให้จากร้านม้าไม้ [แก้ไข พี่ชายมาบอกว่าซื้อจากร้านที่ชื่อ Mario ต่างหาก lol] ที่ห้างฯมาบุญครอง

เครื่องเล่นเกมส์ Atari

นอกจากชีวิตด้านที่สนุกสนานแล้ว ผมเติบโตมากับชีวิตที่เห็นคุณพ่อคุณแม่ขยันทำงานมากๆเพื่อสร้างฐานะ บ้านผมไม่ได้มีฐานะมาก่อน ฐานะทางบ้านมาจากการสร้างตัวของคุณพ่อคุณแม่ล้วนๆ พ่อแม่ผมสร้างตัวจากศูนย์ขึ้นมาจากธุรกิจเสื้อผ้าและการ์เมนท์ จนท่านสามารถสร้างอาคารสูง 10 ชั้น เป็นโรงงานและออฟฟิสของตัวเองบนพื้นที่กว่า 2 ไร่ ชีวิตวัยเด็กของผมจะเห็นพ่อแม่ทำงานหนักตลอดเวลา และบ้านกับที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวกับการทำงานนั้นแยกกันแทบไม่ออก แต่นั่นมีข้อดีมากที่ทำให้ผมใกล้ชิดกับการทำงาน ผมได้รู้ว่าชีวิตเราจะต้องทำงานเพื่อหาเงิน ต้องขยัน และเงินไม่ได้หามาง่ายๆ ผมเห็นลูกจ้างของพ่อแม่ขยันกันทำงาน และพอมาช่วงชั้นประถมปลายๆ ผมได้รู้จักกับคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรก คุณพ่อผมซื้อมันมาเพื่อให้ทีมงานได้ใช้งานในออฟฟิส

ผมในวัยนั้นไม่ได้สนใจอะไรมันมากกว่า “เกมส์” ที่ผมสามารถเล่นได้ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมฯในยุคนั้นเป็นแบบจอโมโนโครมสีเขียว เครื่องใหญ่บะเริ่ม แถมหนักอึ้ง จำได้เลยว่ายี่ห้อต้าถุง (Tatung) คนที่มาลงโปรแกรมให้เราได้ติดตั้งเกมส์ไว้ให้ และสอนวิธีการเปิดเล่นเกมส์เอาไว้ด้วย เกมส์ยุคแรกๆที่ผมเริ่มเล่น คือ Dig Dug, Pac Man และ Space Invader เป็นเกมส์ง่ายๆที่ใช้คีย์บอร์ดเล่น และนี่คือจุดเริ่มต้นแรกที่ผมได้ทำความรู้จักกับคอมพิวเตอร์

เกมส์ Space Invader
เกมส์ Dig Dug

พอผมเริ่มเข้าชั้นมัธยมฯต้น ผมเริ่มสนใจคอมพิวเตอร์ในฐานะของเครื่องมือช่วยงานมากขึ้น เหตุผลน่ะเหรอ ผมรู้สึกว่าอยากช่วยงานพ่อแม่ ผมเห็นท่านเหนื่อยในการทำงาน และท่านเองทั้งคู่ต่างก็ใช้คอมพิวเตอร์กันไม่เป็นเลยล่ะ!! นอกจากนี้ ผมก็ยังเห็นพนักงานที่บ้านต้องใช้มันทำงานหลายๆอย่าง เช่น แทนที่จะใช้เครื่องพิมพ์ดีด ก็ใช้โปรแกรม CU Writer ในการพิมพ์งานแทน และผมเห็นเค้าใช้โปรแกรม Lotus 123 ในการทำตารางตัวเลขต่างๆเยอะแยะ ผมสนใจมันมากว่ามันทำงานยังไง เริ่มแรกๆก็เริ่มจากมาช่วยพิมพ์เอกสาร นั่งกดคีย์บอร์ดทีละตัวๆ เพราะยังพิมพ์สัมผัสไม่เป็น ก็ค่อยๆฝึกกันไป

จนถึงจุดนึง คุณแม่ผมส่งพี่ชายไปเรียนวิชา Computer Basic จากสถาบันสอนการใช้คอมพิวเตอร์ชื่อดังในยุคนั้น คือ ECC ผมเริ่มสนใจและคุณแม่ก็ส่งไปเรียนหลังจากพี่ชายไม่นาน สิ่งที่น่าสนใจคือผมชอบเรียนคอมพิวเตอร์มาก ผมรู้สึกสนุกที่ได้รู้วิธีการใช้งานมัน ผมเรียนตั้งแต่วิธีการเปิดปิด การต่อสาย อุปกรณ์ต่างๆของคอมพิวเตอร์เรียกว่าอะไร และการสั่งงานมันผ่านระบบปฏิบัติการยอดฮิตในยุคนั้น คือ Microsoft DOS (Disk Operating System) ผมต้องขอขอบคุณคุณครูที่สถาบัน ECC ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมสนุกกับการเรียนรู้และรู้จักมันมากขึ้น

หลังจากนั้น ผมก็เริ่มสนใจเรียนรู้เองละ เพราะหลังจากเรียนมา ผมก็สามารถเอามันมาใช้ต่อ ได้ลงมือปฏิบัติจริงกับคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ผมก็ลองเล่นไปเรื่อย ไปเอาเกมส์ใหม่ๆมาติดตั้งบ้าง ทำการ Format Hard Disk เพื่อลงระบบปฏิบัติการใหม่บ้าง ทำการ Copy ข้อมูลบ้าง และก็ทำให้ผมสนใจและขอคุณแม่ไปเรียนการใช้โปรแกรมที่ซับซ้อนขึ้น คือ โปรแกรม Lotus 1-2-3 ผมจำได้ดีเลยว่าผมไปเรียนที่สาขาสยามสแควร์ ยิ่งเรียนรู้ยิ่งชอบ และยิ่งสนใจว่าข้างในมันมีส่วนประกอบยังไง และเครื่องคอมพิวเตอร์มันประกอบขึ้นมาได้ยังไง บางวันว่างๆ ผมก็จะลองถอดเคสคอมพิวเตอร์ออกมาดูอะไหล่ข้างในของมัน แต่ก็ยังไม่ค่อยรู้จักหรอกครับว่าแต่ละตัวคืออะไรบ้าง

เครื่องคอมพิวเตอร์จอโมโนโครม

ช่วงมัธยมต้น เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักคอมพิวเตอร์จอสีครั้งแรก คุณพ่อผมสั่งคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ Acer เพื่อมาใช้งาน และระบบปฏิบัติการยุคนั้นได้เปลี่ยนมาสู่ Windows 3.1 เป็นที่เรียบร้อย ผมได้รู้จักเมาส์ และรู้จักเกมส์ Mine Sweeper และ Solitaire 😀 ช่วงนั้นต้องขอบคุณพี่ IT Support ที่บริษัท SVOA มากๆครับที่คอยรับโทรษัพท์จากผมที่โทรไปปรึกษษวิธีการใช้งาน Windows เป็นประจำ

ผมเริ่มศึกษาการใช้งานระบบโปรแกรม Windows มากขึ้น และก็หมั่นไปซื้อหนังสือมาอ่าน ช่วงนั้น เวลาพนักงานที่ออฟฟิสคุณพ่อคุณแม่ผมมีปัญหาการใช้งานคอมพิวเตอร์ต่างๆ เค้าก็จะมาเรียกให้ผมไปช่วยสอน ช่วยแก้ไขให้เป็นประจำ เช่น เวลาเปิดคอมฯไม่ติด หรือเจอ Error แปลกๆ ผมก็จะเข้าไปช่วย

ผมเริ่มรู้สึกสนุกกับการช่วยเหลือคนอื่น ผมเริ่มรู้สึกดีจากการช่วยคนอื่น มันค่อยๆก่อเกิดขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกว่าสิ่งที่เราชอบและสนุกกับมัน มันช่วยคนอื่นได้ หลังๆงานก็เริ่มซับซ้อนขึ้น ผมเริ่มฝึกการใช้ Microsoft Office ฝึกการใช้ Word, Excel จนถึงขั้นการสร้างฟอร์มและใช้สูตรต่างๆ ทั้งหมดช่วงนั้นเรียนรู้เองจากการอ่านหนังสือ

ช่วงวัยมัธยมฯ เป็นช่วงที่ผมคอยให้คำปรึกษาเพื่อนๆ เพื่อนจะโทรมาปรึกษาปัญหาเรื่อง Computer และผมนั่งไล่ อธิบายทีละขั้นตอน เช่น ขั้นตอนการติดตั้ง Windows ใหม่ ก็ไล่ตั้งแต่แรกจนจบ แล้วสุดท้ายแก้ปัญหาได้ แม้จะคุยกันเป็นชั่วโมงๆ ผมก็รู้สึกสนุกและรู้สึกดีทุกครั้ง คุณครูที่โรงเรียนก็เช่นกันครับ ผมคอยช่วยแก้ไขปัญต่างๆทางด้านคอมพิวเตอร์ จำได้ดีเลยว่า คุณครูบางทีชอบเรียก “ธนาวัฒน์ ไว้มาที่ห้องพักครู มาดูคอมพิวเตอร์ให้ครูหน่อย” ช่วยอาจารย์ซ่อมคอมฯ แก้ปัญหาต่างๆ เช่น แก้ Virus Die Hard II ด้วย R&D Virus Card (ช่วงนั้นไวรัส Die Hard ระบาดหนักมาก และต้องแก้ไขด้วยการ์ดกำจัดไวรัส) ผมรู้สึกดีและกระตือรื้อร้นทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นจากสิ่งที่ตัวเองชอบ

ถ้าถามถึงสถานที่เที่ยวของผมช่วงวัยมัธยมน่ะเหรอครับ มันคือ ห้างพันธ์ุทิพย์พลาซ่า และร้านหนังสือคอมพิวเตอร์ ผมชอบไปร้าน The Book Chest และร้านดวงกมล ที่สยามสแควร์มาก และชอบไปดูว่ามีหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อะไรใหม่ๆให้อ่านเพิ่มบ้าง

ห้างฯ Pantip Plaza

พ่อแม่ผมก็สนับสนุนครับ จากเดิมที่วัยประถมเช้าวันอาทิตย์ ผมจะอยากตื่นมาเล่นเกมส์ ผมเปลี่ยนเป็นเช้าวันอาทิตย์ผมขอเงินพ่อแม่ไปเดินซื้อของที่ห้างพันธ์ุทิพย์พลาซ่า ผมสนุกทุกคร้ังที่ได้ไปเดินเล่น ดูของที่ร้านต่างๆ ไล่ไปตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้นบนสุด และได้ของติดไม้ติดมือกลับมา ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ จุดนี้ผมคิดว่าถ้าผมไม่ได้คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนให้ผมได้ทำในสิ่งที่ชอบ ผมก็อาจไม่ได้เดินทางมาถึงจุดนี้

แม้กระทั่งอากู๋ อาอี๊ ของผม เวลาเค้าจะซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ หรือเค้าอยากซื้อเครื่องพิมพ์ เค้าจะให้ผมไปช่วยเลือกซื้อให้ ให้ช่วยดูว่าควรซื้อรุ่นไหน และจากเจ้าไหนดี ผมรู้สึกดีและเต็มใจทุกครั้งที่ได้ช่วย และก็ไม่พลาดที่เวลาพ่อแม่ผมอยากซื้อคอมฯใหม่เข้าออฟฟิส มันก็จะเห็นหน้าที่ผมที่จะไปเดินเลือกสั่งซื้อด้วยตัวเอง ผมมีความสุขที่ได้เลือกสเปคคอมฯที่ต้องการ หรือแม้กระทั้งเดินเลือกสั่งอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆจากร้านโน้นร้านนี้ รวมทั้งเพื่อนๆด้วย เวลาจะซื้อคอมฯหรืออุปกรณ์ต่างๆ ก็จะมาปรึกษาผมเสมอๆ มันยิ่งตอกย้ำความสนใจของผม และทำให้ผมมีความสุขจากการช่วยเหลือคนอื่น โดยที่เราไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรด้วยซ้ำ

จนกระทั่งมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเรียนของผม คือ การ Entrace เข้ามหาวิทยาลัย ผมตัดสินใจเลือกตามหัวใจผมอีกครั้ง ผมเลือกเข้าเรียนคณะวิศวฯที่จุฬาฯ เพราะผมคิดและตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าผมจะเลือกเรียนภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์

สถาบันการศึกษาแห่งนี้เองที่ทำให้ผมได้เรียนและศึกษาศาสตร์คอมพิวเตอร์อย่างลึกซึ้ง หลังจากที่เรียนจบ ปริญญาตรี ก็คิดลึกๆอยู่ในใจเสมอ ว่าอยากเอาความรู้ที่เรียนมา ความชอบที่เรามีด้าน Computer มาสร้างบางสิ่งบางอย่าง ที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตผู้คนดีขึ้น

จนวันนึง เพื่อนสนิทของผมเค้าไปเรียนต่อที่ USA เค้าทักมาหาผมครับมาปรึกษาเรื่องการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ Laptop ผมจำได้เลยว่าเค้ากำลังเปรียบเทียบ IBM ThinkPad 2 รุ่น ว่าซื้อรุ่นไหนดี และเค้าส่งลิงค์ผ่าน MSN (โปรแกรมแชทดังยุคนั้นของ Microsoft) มาให้ผม เพื่อมาปรึกษา เป็นลิงค์เว็บไซต์นึงชื่อว่า PriceGrabber.com

มันน่าสนใจดีมาก!!! มันช่วยเปรียบเทียบราคาให้ เทียบ spec ให้ ช่วยแนะนำให้เสร็พสรรพว่ารุ่นไหนที่เหมาะกับคุณ แล้วไม่มีแบบนี้ในไทย แทนที่ผมจะต้องไปเดินศึกษาว่าคอมพิวเตอร์รุ่นไหนสเปคดีกว่ากัน และเจ้าไหนขายราคาดีที่สุด มันไม่ต้องแล้ว ผมสามารถเปรียบเทียบและเลือกซื้อได้เสร็จสรรพผ่านเว็บไซต์นี้!

มันเหมือนเป็น Click Moment ว่านี่แหละคือไอเดียที่เราอยากทำ ผมอยากสร้างเว็บไซต์ที่ให้บริการช่วยผู้คนตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าไอที และช่วยเปรียบเทียบราคาจากร้านค้าต่างๆ เราอยากช่วยให้ผู้คนตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้า เปรียบเทียบสินค้าและราคา ช่วยให้เค้าได้สินค้าที่ใช่ในราคาที่ชอบ และมันคือจุดเริ่มต้นสู่การทำ Priceza จนทุกวันนี้ของผมครับ

จากวันนั้นถึงวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจากความสนใจในการเล่นเกมส์บนคอมพิวเตอร์จอสีเขียว จะนำมาซึ่งการสร้างบริการ Priceza: Shopping Search Engine จนทุกวันนี้

พอผมได้ลองมานั่งคิดวิเคราะห์ถึงเส้นทางในอดีตของผม ผมถึงกับอึ้งว่าจริงๆแล้วชีวิตมันได้ปู Dots (จุดเชื่อมโยงสำคัญๆของชีวติ) เอาไว้ให้ผม Connect (เชื่อมต่อ) แล้วตั้งแต่วัยประถมฯ ผมกลับไม่เคยลองกลับไปย้อนคิด จนกระทั่งลองมานั่งย้อนอดีตจริงๆจังๆ แล้วพบว่าจุดต่างๆมันเหมือนร้อยเชื่อมโยงกับอย่างกับออกแบบไว้ตั้งแต่แรก

เรื่องราวของผม มันทำให้ผมหวนคิดถึงคำที่ สตีฟ จอบส์ พูดถึงเรื่อง “Connecting the Dots” สตีฟ ย้ำในบทสุนทรพจน์ว่า…

“คุณไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงเรื่องปัจจุบันไปสู่เรื่องในอนาคตได้ [เพราะคุณไม่รู้อนาคต] คุณสามารถแค่ที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวปัจจุบันย้อนหลังไปในอดีตได้ ขอแค่ให้คุณเชื่อมั่นในหัวใจของคุณว่ามันบอกคุณว่าอะไร ถ้าคุณคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ใช่และหัวใจบอกว่าลุย ให้ลงมือทำเลย ไม่ต้องกลัว และจุดเชื่อมโยงนี้มันจะไปเชื่อมโยงกับจุดในอนาคตได้เองอย่างกับมันออกแบบไว้ให้คุณแล้ว”

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s