#อ่านจบแล้ว Sapiens: A Graphic History ตอน The Birth of Humankind

เมื่อหนังสือดังระดับโลกอย่าง Sapiens ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบหนังสือภาพการ์ตูน สีสันสดใส อ่านง่าย เราเลยจัดเล่มแรก Volume 1 มาอ่านครับ ฉบับรที่ผมซื้อมาเป็น Version ภาษาอังกฤษเพราะเล่มใหญ่กว่าฉบับแปลไทย เลยชอบมากกว่าที่ได้เห็นภาพเต็มๆตาดี

หนังสือ Sapiens A Graphic History โดยผู้เขียน คุณ Yuval Noah Harari เล่มแรกตอน The Birth of Humankind เป็นหนังสือที่อ่านสนุกครับ บางช่วงนี่แบบวางไม่ลงเลย แต่มีบ้างบางช่วงที่อืดๆ แต่โดยรวมชอบ และซื้อเล่ม 2 รอเอาไว้แล้ว

วันนี้ผมมาสรุปเนื้อหาของเล่มแรกให้ก่อน เผื่อเพื่อนคนไหนสนใจเนื้อหาจะได้ไปซื้อฉบับหนังสือรูปสวยๆเพื่อรับประสบการณ์ได้เต็มๆนะครับ งั้นเรามาเริ่มเนื้อหาของหนังสือ Sapiens เล่มแรกกันเลย 🙂

มนุษย์มี 6 Species และทุกวันนี้เหลือแค่ Sapiens ที่ครองโลก

มนุษย์หลาย Species เคยอยู่ร่วมกันในโลกใบนี้

Sapiens มีสมองใหญ่ที่สมดุลกับขนาดอวัยวะต่างๆ

ลูกของมนุษย์เกิดมาแบบยังไม่โตเต็มที่เมื่อเทียบกับสัตว์อื่นๆ แต่กลับเป็นข้อดีที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาแบบนี้ เพราะเด็กพัฒนาการไปได้ตามสภาวะแวดล้อมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน ทำให้เด็กกลายไปเป็นมนุษย์ที่เชี่ยวชาญต่างๆกันไปแต่ละคน

การจุดไฟและใช้ไฟเป็น เป็นหนึ่งใน inflection point (จุดเปลี่ยนวิวัฒน์ครั้งใหญ่) ที่ทำให้ Sapiens พัฒนาก้าวหน้าขึ้นจุดสูงๆของห่วงโซ่อาหาร ทั้งที่ร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรงไปกว่าสัตว์ต่างๆ เช่น เอาไฟมาป้องกันสัตว์ร้าย หรือแม้แต่เอาไว้ฆ่าสัตว์ใหญ่อย่างช้างแมมมอธยกฟูงได้เลย [ลองนึกดูสิครับว่ามีสัตว์ชนิดไหนอีกบ้างที่อยู่ลุกขึ้นมาเรียนรู้การจุดไฟและเอาไฟไปปรุงอาหารได้แบบมนุษย์เราทุกวันนี้ ผมนึกไม่ออกเลยนะ ไม่น่าจะมี]

การใช้ไฟได้ช่วยให้เกิดการกินอาหารแบบปรุงสุก มีข้อดีเยอะมาก เช่น ช่วยฆ่าเชื้อในอาหาร, ย่อยอาหารโดยใช้เวลาน้อยกว่ากินดิบๆ, ประหยัดเวลา, กินอาหารได้หลากหลายชนิดมากๆ

70,000 ปีที่แล้ว Sapiens ออกตระเวนไปทั่วโลก และทำให้มนุษย์ Species อื่นๆหายไปจากโลกเลย สาเหตุมี 2 ทฤษฎี ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียงกันอยู่ คือ Sapiens ไปผสมพันธ์กับ Species อื่นจนกลืนและเด่นนำจนเหลือแค่เผ่าพันธ์ุเดียว หรืออีกด้านคือการที่ Sapiens ใช้กำลังยึดครองเหนือเผ่าพันธ์ุอื่นๆ

ช่วงนั้น Sapiens เริ่มสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆเป็น เช่น แพไม้, ตะเกียงน้ำมัน, ธนู, หอกที่มีหินแหลมๆที่หัว

Sapiens สร้างผลงานศิลปะหรืออัญมณีชิ้นแรก คือ lion-man เจอในถ้ำ อายุราวๆ 32,000 ปีที่แล้ว

อะไรทำให้อยู่ๆ เมื่อ 70,000 ปีที่แล้วเกิดการขยายอิทธิพลแบบนี้ นักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อว่า เพราะวิวัฒนาการอย่างมหึมาของ Cognitive abilities (ความสามารถด้านองค์ความรู้ การเรียนรู้และการสื่อสาร): learning, remembering, communicating

โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารและทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆที่ Sapiens ทำได้ดีเหนือสัตว์ทุกชนิด (Large-scale cooperation)

ต่างกับมด หรือผึ้ง Sapiens สามารถทำงานร่วมกับคนแปลกหน้าไม่รู้จักกันแต่มีเป้าหมายร่วมกันได้ และยืดหยุ่นในการทำงาน คิดเป็น แก้ปัญหาเป็นเก่งกว่า

สิ่งนี้ทำให้ Sapiens ครองโลกเลย

ผลงานชิ้นโบว์แดงบนโลกล้วนเกิดจาก Large-scale cooperation เช่น การสร้างพีระมิด หรือการบินไปลงดวงจันทร์

สาเหตุที่ทำให้สิ่งนี้เกิดได้ เพราะ Sapiens เชี่ยวชาญในการสื่อสารโดยการใช้ภาษา

ภาษาเป็นการพัฒนาการออกเสียงและตัวอักษรจำนวนจำกัด แต่เอามาผสมกันแทนความหมายสิ่งต่างๆได้เยอะมากๆ เกิดเป็นเรื่องราว เช่น สามารถคุยวางแผนการล่าสัตว์ที่ละเอียดๆได้ มีชั้นเชิง ลึกซึ้ง

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์(Sapiens) ชอบสื่อสารกันมากๆคือเรื่องคนอื่น! หรือการ Gossip

คนจะนินทากัน ทำให้รู้เรื่องแย่ๆของคนอื่น และพัฒนาความใกล้ชิด ความเชื่อใจ

การทำงานร่วมกันต้องอาศัยความไว้ใจกัน การคุยถึงเรื่องคนอื่น ทำให้เกิดความไว้ใจขึ้นมาได้ ความสนิทใจกันมากขึ้นของคนที่คุยนินทากับอย่างออกรสชาติ

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ทำงานร่วมกันได้เป็นกลุ่มใหญ่

แต่ลิมิตในการสร้างสัมพันธ์ผ่านการ Gossip อยู่ที่ไม่เกิน 150 คน เกินไปกว่านั้นจะยุ่งเหยิงละ

สิ่งที่รวมมนุษย์เป็นหมื่นจนเป็นหลายล้านๆคนให้ทำสิ่งเดียวกัน สามัคคีในการทำภารกิจร่วมกันคือการที่มนุษย์สามารถนำเอาภาษามาพัฒนาเป็น Fiction นิยาย เรื่องราวความเชื่อได้

คนที่เชื่อสิ่งเดียวกัน ก็จะมีพฤติกรรมไปในทางเดียวกันได้

เช่น ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม การมีสวรรค์ เทพเจ้า

คนที่เชื่อในตำนานเดียวกัน ก็จะปฏิบัติตามกฎระเบียบเหมือนๆกัน แม้จะไม่ได้รู้จักกัน

มนุษย์สร้าง Legal Fiction ขึ้นมาชื่อ Limited Liability Company (บริษัทจำกัดความรับผิดชอบ)

เพราะการลงทุนทำสิ่งใหญ่ๆในอดีตมันเสี่ยง ทั้งการกู้เงินมาลงทุนสร้างโรงงานต่างๆนานา เจ้าของมีสิทธิ์สิ้นเนื้อประดาตัว ครอบครัวล่มจมได้เลย

แบบนี้ไม่ดีกับการสร้างเสริมความก้าวหน้า

มนุษย์เลยสร้างระบบการตั้งบริษัทขึ้นมาจำกัดความรับผิดชอบเท่ากับ บริษัทเป็นนิติบุคคลที่แยกความรับผิดชอบออกไปจากตัวเราเอง

การสร้างบริษัทขึ้นมา เหมือนการตั้งศาสนา คล้ายกันเลย บริษัทขายความเชื่อ ดึงให้ผู้คนมาร่วมทำภารกิจร่วมกัน ร่วมรับผลประโยชน์และลงทุนลงแรงด้วยกัน ด้วยมีความเชื่อเหมือนกัน

ความท้าทายในการรวมพลังผู้คน คือการเล่าเรื่องที่น่าเชื่อถือ น่าตื่นเต้น ถ้าทำสำเร็จ คุณจะสามารถดึงคนแปลกหน้ามาร่วมมือกันทำการใหญ่กันได้ เรื่องเล่านี้เรียกว่า Imagined Realities

ประเทศก็เหมือนบริษัท ที่รวมคนที่เชื่อมั่นในระบบการบริหาร และผู้คนยอมจ่ายภาษีเพื่อใช้ชีวิตในประเทศ

ด้านมืดของเรื่องเล่าที่รวมใจผู้คนคือคนที่ลืมตัวกับความเชื่อจนก่อให้เกืดความขัดแย้งในความเชื่อระหว่างกลุ่ม จนกลายมาเป็นสงครามโลกจนได้

โดยสรุป เมื่อ 70,000 ปีก่อนนี้เกิด Cognitive Revolution ที่ทำให้ Sapiens สามารถมีทักษะการสื่อสาร การประดิษฐ์ ความจำ และการเรียนรู้ที่ดี ทำให้ Sapiens ใช้ชีวิตในโลกคู่ขนานสองอัน คือ Objective Reality คือความจริงที่เกิดขึ้น และ Imagined Reality คือที่จินตนาการสร้างสรรค์ขึ้นมา ทั้งเรื่องพระเจ้า ศาสนา ประเทศ และบริษัท

Cognitive Ability ยังช่วยให้มนุษย์เปลี่ยนพฤติกรรม ปรับเปลี่ยนตัวเองตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆบนโลกได้อย่างคล่องแคล่ว ส่งต่อพฤติกรรมไปสู่รุ่นต่อรุ่นได้

เทียบกับสัตว์อื่นที่ต้องอาศัยระยะเวลาหลายร้อยปีในการเปลี่ยนแปลงในเชิงพันธุกรรมในยีน

การสร้างไว้ใจกัน ยังนำมาซึ่งการค้าขายแลกเปลี่ยนกันด้วย มีการค้นพบว่า Sapiens ใช้เปลือกหอยเป็นเงินในการค้าขาย

เครือข่ายการค้าขายระดับโลกพึ่งพาความเชื่อใจกันและกันในกลุ่มบริษัท

หลังจากที่เกิด Cognitive Revolution ขึ้น Sapiens ก็พัฒนาเรื่องราวความเชื่อขึ้นมามากมาย และต่อยอดมาเป็นแบบแผนพฤติกรรมแบบใหม่ที่เรียกว่า วัฒนธรรม (Cultures)

เกิด Agricultural Revolution 12,000 ปีที่แล้ว

Sapiens กลุ่มแรกอาศัยอยู่แถว East Africa

ด้วยการที่มีวิถีชีวิตแบบโยกย้ายพื้นที่เรื่อยๆตามฤดูกาล ภัยพิบัติ การสู้รบ ทำให้ในช่วง 10,000 ปีเกิดการขยายตัวและสำรวจพื้นที่หาอาหารไปเรื่อยๆจนถึงฝั่งตะวันออกของประเทศจีนและออสเตรเลีย

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ Sapiens ต้องการคือองค์ความรู้ (Knowledge) เช่น ด้านภูมิศาสตร์ พฤติกรรมสัตว์ต่างๆ พืชนานาชนิด ภูมิอากาศ ประสาทสัมผัส การเดิน วิ่ง นั่ง ทั้งหมดนำมาซึ่งความอยู่รอดของการใช้ชีวิต

มีหลักฐานยืนยันว่าสมองของ Sapiens ในยุคหินมีขนาดใหญ่กว่าของเราเองในยุคนี้

เพราะว่าในยุคหิน มนุษย์ต้องมีองค์ความรู้รอบด้านมากๆเพื่อความอยู่รอด

เทียบกับพวกเราในตอนนี้ เราแค่สร้างความเชี่ยวขาญในบางด้านให้ลึกซึ้งเราก็สามารถมีอาชีพและหาเงินเพื่อการเลี้ยงชีพได้

คนยุคดึกดำบรรพ์เจ็บป่วยเพราะโรคต่างๆน้อยกว่ายุคปัจจุบัน เพราะส่วนใหญ่โรคต่างๆมาจากสัตว์ เช่น ไก่ หมู วัว ที่มนุษย์รับประทานมากขึ้นจากช่วงการปฏิวัติเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

มากไปกว่านั้น บ้านที่อยู่อาศัยในยุคนี้ก็อยู่กันอย่างแออัดกว่าสมัยก่อน ทำให้สุขภาวะไม่ดีเท่าการอาศัยในที่โล่งในสมัยก่อน

โดยสรุป วิถีชีวิตคนยุคก่อนการปฏิวัติเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ที่กินอาหารหลากหลาย ต้องเดินทางประจำ ใช้เวลาออกหาอาหารหรือทำงานต่อวันน้อยกว่าปัจจุบัน รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อโรคน้อย ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เลยขนานนามว่าเป็นสังคม Original Affluent Societies (สังคมที่มั่งคั่งร่ำรวยอย่างแท้จริง)

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s