คุณเคยถามตัวเองมั้ยครับว่าชีวิตคนเราเกิดมาทำไม? เกิดมาเพื่ออะไร?
ช่วงที่ผมเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆช่วงนั้นผมมีคำถามนี้อยู่ในใจ แล้วผมก็พยายามค้นหาคำตอบ
ผมหาหนังสือหลักคิดต่างๆมาเรียนรู้เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง งานที่เราทำอยู่ตอนนั้นราชอบมันมั้ย? ถ้าเรากำลังจะตายไปในวันพรุ่งนี้ เราจะยังคงทำสิ่งที่เราทำวันนี้อยู่มั้ย? คำถามหลายๆอย่างนี้เกิดขึ้นวนเวียนในชีวิตวัยเริ่มต้นทำงานของผม
และผมก็ได้ไปเจอหนังสือเล่มนึงเข้า หลังจากผมได้อ่านแล้วผมก็ได้ข้อคิดดีๆหลายอย่างที่ผมได้นำไปใช้โดยไม่รู้ตัว
วันนี้ผมว่าผมตอบตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้นว่าผมรักสิ่งที่ผมทำอยู่ และมีความสุขดีกับชีวิตปัจจุบันครับ
ผ่านมาเกือบ 7-8 ปีได้ และผมเผอิญไปเจอะ short note ที่ตอนนั้นผมอ่านและสรุปเอาไว้ ผมเลยอยากแชร์ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับน้องๆคนรุ่นใหม่เช่นกันครับ
หนังสือเล่มนี้ชื่อ Follow Your Heart ก้าวไปตามในฝัน! เขียนโดย Andrew Matthews
หนังสือเล่มนี้แบ่งแง่คิดออกเป็น 10 ข้อด้วยกันดังนี้ครับ
1. เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ และโลกใบนี้คือครูของเรา
- จงใช้ชีวิตราวกับว่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนมีจุดมุ่งหมาย แล้วชีวิตคุณจะมีเป้าหมาย ลองไตร่ตรองดูว่าเพราะเหตุใดบทเรียนหนึ่งๆหรือประสบการณ์หนึ่งๆจึงเกิดขึ้นกับคุณ จงหาทางรับมือกับมัน แล้วคุณจะสอบผ่านโดยไม่ต้องเรียนรู้มันอีก
- มนุษย์เราแต่ละคนได้รับบทเรียนเฉพาะตัวแตกต่างกันไป และชีวิตได้เตรียมบทเรียนซึ่งเราต้องเรียนรู้ไว้แล้วอย่างเป็นลำดับอันเหมาะสม บทเรียนนั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด เว้นแต่เราสอบผ่าน บทเรียนจึงจบลง มิฉะนั้นเราก็ยังคงได้รับบทเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรูปแบบที่ต่างกันออกไปเรื่อยๆ
- ทุกคนที่ก้าวเข้ามาใชีวิตคุณล้วนเป็นครูของคุณ แม้ว่าพวกเขาจะทำให้คุณแทบเป็นบ้าก็ตาม เพราะเขาช่วยให้คุณรู้ว่าขีดจำกัดของคุณอยู่ตรงไหน และควรพัฒนาจุดไหนบ้าง
- ชีวิตไม่ง่ายขึ้นหรอกครับ แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้ดีขึ้นได้ ยิ่งคุณเก่งขึ้น เกมก็ยิ่งยากขึ้น ตราบเท่าที่คุณยังมีลมหายใจ โรงเรียนแห่งชีวิตก็ยังดำเนินต่อไป ไม่ใช่แค่โลกเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตเรายุ่งยากซับซ้อน เราเองนั่นแหละที่เริ่มมองหาสิ่งใหม่ๆ เมื่ออะไรต่างๆเริ่มเข้าที่เข้าทางหรือเริ่มง่ายขึ้น
- ทำอย่างไรจึงไม่เสียสติไปก่อน… คลายเครียดบ้างครับ หาความสุขบ้างในขณะที่คุณกำลังจัดการเรื่องต่างๆอยู่ และถามตัวเองอยู่เสมอว่า “ฉันกำลังเรียนรู้อะไรจากเจ้าสิ่งนี้”
2. โลกนี้มิได้ชอบพอใครเป็นพิเศษ
- กฎแห่งเมล็ดพันธุ์
- คุณจะเก็บเกี่ยวผลได้ก็ต่อเมื่อคุณได้ลงแรงไปแล้ว การลงแรง + อดทนรอ = ผลที่ได้รับ
- การหว่านเมล็ดสักหนึ่งกำมือไม่ได้หมายความว่าคุณจะเก็บเกี่ยวต้นถั่วได้ทั้งหนึ่งกำมือ
- กฎแห่งเหตุและผล
- สิ่งที่คุณมอบให้กับชีวิตเป็นตัวกำหนดสถาการณ์ในชีวิตของคุณ เราขออะไรจากชีวิต เราก็ได้อย่างนั้น
- โลกเราให้รางวัลแก่คนที่พยายามและลงมือทำ ไม่ใช่คนที่คอยแต่หาข้อแก้ตัว
- เริ่มต้นทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่คุณมีอยู่เสียแต่ตอนนี้ ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด แล้วโอกาสจะถามหาคุณเอง (กระบวนการนี้เรียกว่า กระบวนการทำให้คุณเป็นที่รู้จัก หรือก็คือ สิ่งหนึ่งนำไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง)
- เราจำเป็นต้องรู้อยู่เสมอว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในชีวิตเรา เราต้องดูแนวโน้มความเป็นไปในแต่ละวันแล้วถามตัวเองว่า “เรากำลังมุ่งไปทางไหน เราแข็งแรงขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น เจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่าปีที่แล้วหรือเปล่า” ถ้าคำตอบคือไม่ เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสิ่งที่เรากำลังทำอยู่แล้วล่ะครับ
- จงมีวินัยในตัวเอง ลงมือทำสิ่งเล็กๆน้อยๆที่คุณไม่ชอบ แล้วคุณจะสามารถใช้ชีวิตทำสิ่งที่คุณพึงพอใจได้
- ไม่มีการลงแรงครั้งใดศูนย์เปล่า ให้คิดว่าชีวิตเป็นการเล่นเกม ความพยายามทุกครั้งเป็นการเติมคะแนนรวมของเรา คุณอาจจะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในทันที แต่คุณจะได้เห็นแน่นอน จำหลักนี้ไว้แล้วคุณจะไม่ร้อนรนรอเห็นผล และจะไม่ท้อถอยสิ้นหวังนเลิกล้มไปเสียก่อน
- คนที่มีความสุขนั้นไม่เพียงแต่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง พวกเขาน้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วยความยินดี เพราะสิ่งที่แน่นอนที่สุดในชีวิตคือความไม่แน่นอน
3. ชีวิตเป็นเสมือนกระจกสะท้อนความเชื่อของคุณ
- เราแทบทุกคนคิดว่าเรามี “เรื่อง” ของตนเอง เราติดป้ายชื่อให้ตนเอง “ฉันเป็นครู” “ผมเป็นคนรุ่นใหม่” เรื่องของเราก็เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งไว้ในสมองและควบคุมชีวิตเรา เรานำมันติดตัวไปด้วยทุกที่ เราก็ยังเที่ยวไปบอกคนอื่นว่า “ผมถูกภรรยาทิ้ง” “ตอนเด็กฉันถูกทารุณกรรม” เราใช้ชีวิตโดยพยายามที่จะทำให้เข้ากับเรื่องของตัวเอง
- ที่สำคัญอยู่ตรงนี้ครับ คุณไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเที่ยวเล่า และความจริงไม่มีใครใส่ใจเรื่องของคุณหรอก ไม่มีใครจัดคุณอยู่ในประเภทไหน คุณเป็นเพียงมนุษย์ที่มีประสบการณ์ต่างๆเท่านั้น ความเชื่ออะไรที่ทำให้คุณรู้สึกแย่และรันทด ก็ทิ้งๆความเชื่อนั้นไปเถอะครับ คราวหน้าเวลาที่คุณขุ่นเคืองใจเรื่องอะไรก็ตาม สิ่งที่เป็นต้นเหตุหาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นความเชื่อของคุณนั่นเองที่สร้างความเจ็บปวดให้กับคุณ มันเป็นเพียงแค่ความคิดและคุณสามารถเปลี่ยนความคิดได้
- ความเชื่อกับการหาเงิน: หากคุณอยากเป็นเจ้าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิตและเก็บรักษาสิ่งนั้นไว้ได้ คุณต้องรู้สึกสบายใจกับมัน ดังนั้นการจะหาเงินและเก็บเงินไว้ได้ คุณต้องรู้สึกสบายใจเรื่องเงินด้วยเช่นกัน
- ความเชื่อกับการทำงาน: คุณบางคนชอบโทษว่างานคือตัวปัญหาที่ทำให้ชีวิตคุณไม่มีความสุข ลองเชื่อในสิ่งตรงข้าม “งานเป็นสิ่งที่สนุก” คุณจะเห็นในสิ่งที่ต่างออกไป ความเชื่อของคุณเป็นตัวกำหนดมุมมองในการทำงานนั่นเอง เช่นเดียวกับมุมมองการใช้ชีวิต “ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่สนุก” เป็นความเชื่อที่ทำให้ชีวิตคุณดีแตกต่างจากความเชื่อว่า “ชีวิตนี้ยากลำบากเหลือเกิน”
4. เมื่อใดก็ตามที่คุณยึดติดกับสิ่งต่างๆมากเกินไป (ไม่ว่าจะคน เงินทอง หรืออะไรก็ตาม) เมื่อนั้นคุณกำลังทำให้สิ่งนั้นพินาศลง
- การปล่อยวางมิใช่การไม่ใส่ใจ คุณสามารถปล่อยวางทั้งๆที่ยังคงมีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมได้ คนที่ปล่อยวางและมีความมุ่งมั่นรู้ว่า ความพยายามและการทำอย่างดีที่สุดนั้นจะได้รับผลตอบแทนเสมอ พวกเขาบอกตัวเองว่า “ถ้าครั้งนี้ไม่ชนะ คราวหน้าต้องชนะ หรือไม่ก็ครั้งต่อๆไป” “ฉันจะทำงานให้ดีที่สุดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉันไม่สนหรอกว่าจะใช้เวลานานสักแค่ไหนก็ตาม”
- คนส่วนใหญ่ยึดติดกับเงินมากไป ดังนั้นพวกเขาจึงควบคุมเงินไม่ได้ การปล่อยวางเป็นเหตุผลหลัก ถ้าคุณไม่มีเงิน คุณต้องทำใจให้สบาย พร้อมกับคิดว่าถึงอย่างไรเราก็หาเงินมาจนได้ เมื่อคุณมีเงิน คุณต้องรู้สึกสบายใจกับเงินนั้นเพื่อจะได้ใช้หรือเก็บเงินบ้างและมั่นใจว่ามีเงินพอกพูนขึ้นอีก คนจนจะภาวนาอยากมีเงิน คนรวยเชื่อว่าตัวเองหาเงินได้
- เคล็ดลับของการให้คือให้โดยไม่หวังสิ่งดตอบแทน ถ้าคุณคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งตอบแทน นั่นแสดงว่าคุณกำลังไปยึดติดกับผลที่จะตามมา
- คุณควรสุขสำราญกับทรัพย์สมบัติที่คุณเป็นเจ้าของ และคุณควรแน่ใจว่าคุณเป็นเจ้าของมัน อย่าปล่อยให้มันเป็นเจ้าของคุณ
- การรักคือการให้อิสระแก่พวกเขา ให้พวกเขาเป็นในสิ่งที่พวกเขาเลือกที่จะเป็น ให้พวกเขาได้อยู่ในที่ๆพวกเขาเลือกที่จะอยู่ ถ้าคุณอยากให้ใครสักคนอยู่กับคุณ คุณต้องรู้จักปล่อยวาง
- การเกลียดสิ่งใดก็ตามเป็นความคิดที่ไม่ให้ประโยชน์เลย เวลาที่คุณเกลียดอะไร สิ่งนั้นจะยังคงติดค้างอยู่ในใจคุณ คุณจะเอาชนะสิ่งที่คุณไม่ชอบด้วยการยอมรับสิ่งนั้น มิใช่ไปเกลียดชังหรือต่อต้าน ยอมรับสิ่งที่คุณไม่ชอบอย่างที่มันเป็น แล้วค่อยหาอะไรดีๆมาทดแทน
5. หากคุณมุ่งมั่นสิ่งใด สิ่งนั้นจะกลายเป็นจริง
- มองโลกในแง่ดีเพื่ออะไร?
- การมองโลกในแง่ดีไม่ได้เป็นหลักประกันอะไรหรอกครับ แต่การมองโลกแง่บวกจะทำให้คุณทำดีที่สุดเท่าที่คุณทำได้
- คนแพ้จะเฝ้าคร่ำครวญถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จนในที่สุดทั้งหมดที่พวกเขาเห็นคือความเป็นไปไม่ได้
- คนมองโลกในแง่ดีจะคิดถึงแต่สิ่งที่เป็นไปได้ และมุ่งมั่นคิดถึงแต่ความเป็นไปได้นั้น เป็นส่วนช่วยให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จ
- อนาคตของคุณขึ้นอยู่กับความคิดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของคุณเอง เมื่อคุณเริ่มจัดระเบียบให้กับจิตของคุณ ความคิดภายใต้การควบคุมใหม่นี้จะสร้างโปรแกรมใหม่ให้กับตัวคุณเอง ทั้งนี้คุณต้องมีวินียในการฝึกคิดและต้องใช้เวลา
- คนที่ชอบมองแต่ข้อเสียคนอื่นมักแก้ตัวว่า “ฉันเพียงแต่มองโลกตามความเป็นจริงต่างหาก” ความจริงคือ คุณเป็นคนสร้างความจริงนั้นขึ้นมา คุณเป็นคนเลือกว่าคุณจะมองคนต่างๆยังไง ลองคิดถึงใครสักคนในชีวิตคุณขึ้นมา แล้วคิดถึงแต่สิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับคนคนนั้นดู แล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับอีกฝ่ายจะดีขึ้นแน่นอน
6.ก้าวไปตามในฝัน!
- ภารกิจในชีวิตมิใช่การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากอุปสรรคใดๆ แต่คือการรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตต่างหาก
- ถ้าคุณทำในสิ่งที่คุณชอบ คุณจะมีความสุขยิ่งกว่า มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า และอาจทำเงินได้มากกว่าด้วย ในระยะสั้นคุณมักจะต้องทำให้ดีที่สุดในสถานการณ์นั้นๆ คุณอาจต้องทำงานที่มีอยู่ไปก่อน ขณะเดียวกันก็วางแผนอนาคตในระยะยาวเพื่อจะได้ทำสิ่งที่คุณรัก คุณจะรู้สึกอิ่มเอมใจเมื่อได้ทำในสิ่งที่รู้สึกว่าเหมาะกับตัวคุณเอง งานอดิเรกคุณอาจเป็นแหล่งหารายได้ที่ดีแหล่งหนึ่ง ถ้าคุณยังไม่มีความสนใจในงานอดิเรก เท่ากับว่าคุณจำกัดทางเลือกในชีวิตตนเอง
- เหตุผล 2 ประการว่าเพราะอะไรคุณจึงควรทำงานให้ดีที่สุด
- 1. คุณจะมีความสุขมากกว่าเวลาที่คุณลงแรงลงใจไปเต็มร้อย
- 2. โลกมีวิธีลงโทษคนเกียจคร้าน สิ่งต่างๆในชีวิตจะผิดพลาดไปหมดหากคุณไม่ใช้ความพยายามอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของหัวใจ ถ้าเราเริ่มต้นด้วยการสุกเอาเผากิน ทุกอย่างจะเริ่มแย่ลง คำๆหนึ่งที่ให้คำจำกัดความของการพยายามอย่างเต็มที่ทุกครั้งคือคำว่า “ความเป็นมืออาชีพ” ครับ
- ถ้าคุณทำงานเพื่อเงิน คุณจะไม่มีความสุขมากนักหรอก และบางทีคุณอาจหาเงินได้ไม่มากนัก แต่เมื่อคุณรักสิ่งที่คุณทำ คุณจะยึดติดกับเงินน้อยลง ดังนั้นคุณมักจะรู้สึกว่าคุณหาเงินได้มากขึ้น การร่ำรวยไม่ใช่เป้าหมายของการทำงาน แต่เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น
- สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขกับงานนั้นมิได้อยู่ที่ว่าคุณทำงานอะไร แต่อยู่ที่ว่าคุณทำงานอย่างไร คุณสามารถทำงานเท่าที่คนอื่นๆทำกันก็ได้ หรือคุณลองจินตนาการสร้างสรรค์ในงานนั้นเพิ่มอีกสักนิดก็ได้เช่นกันใช่ไหมครับ
- การทำในสิ่งที่คุณรักมิใช่สูตรสำเร็จสู่ชีวิตที่ง่ายกว่า แต่เป็นเคล็ดลับที่นำไปสู่ชีวิตที่เร้าใจกว่า โดยมากแล้วคุณจะต้องรับผิดชอบมากขึ้น และอาจมีปัญหาให้แก้ไขมากขึ้นด้วย
- หากคุณมีความฝันที่ยังไม่เป็นจริง ลองวิเคราะห์ข้อแก้ตัวต่างๆของตัวเองดู เรามักไม่ค่อยซื่อสัตย์กับตัวเองและบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่ในความเป็นจริง คือสิ่งเหล่านั้นเป็นไปได้ แต่ไม่ง่ายนัก
- เมื่อใดก็ตามที่คุณพูดว่า “ฉันจะทำสิ่งนี้ล่ะ และฉันไม่สนว่ามันจะยากสักแค่ไหน” เมื่อนั้นชีวิตจะเริ่มเป็นไปตามที่คุณต้องการ
7. พระเจ้าไม่มีวันเสด็จลงมาจากสวรรค์และตรัสว่า “บัดนี้เจ้าได้รับอนุญาตให้ประสบความสำเร็จได้แล้ว”
- คุณจะได้แรงบันดาลใจจากการลงมือทำ มิใช่จากการแค่คิดว่าจะทำ การลงมือทำจริงจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้น และการลงมือทำนั้นจะเปิดโอกาสดีๆให้คุณ เรามาเริ่มลงมือทำสิ่งที่ต้องการเสียแต่ตอนนี้เถอะ
- หากคุณมุ่งมั่นที่จะทำอะไรสักอย่าง ให้คุณเตรียมพร้อมอย่างดีที่สุดเท่าที่คุณทำได้ แล้วลงมือทำไปเลยโดยไม่มีวิธีแก้ปัญหาต่างๆเตรียมไว้ล่วงหน้า และไม่มีเครื่องมือรับประกันความสำเร็จใดๆ เพราะคุณไม่มีวันมีความพร้อม 100% ไม่ว่ากิจกรรมใดก็ตาม ตัวอย่างเช่น การขึ้นพูดบนเวที, การเตรียมงานแต่งงาน
- ความกล้าคือการลงมือทำสิ่งต่างๆทั้งๆที่มีความกลัว คนที่ไม่ทำอะไรในชีวิต อาจมีความกลัวพอๆกับคนที่ลองเสี่ยงทำสิ่งต่างๆที่ท้าทายความสามารถ ทว่าความแตกต่างคือกลุ่มหลังกลัวจนพาลไม่ลงมือทำอะไรเลย
- คุณต้อง”ศรัทธา”ในตนเอง แต่ก่อนที่คุณจะศรัทธาในตนเองได้ คุณต้องเชื่อในตนเองก่อน จงให้สัญญาว่าจะทำสิ่งต่างๆก็ต่อเมื่อคุณแน่ใจว่าทำได้เท่านั้น จงให้สัญญาให้น้อยลง แต่สิ่งใดที่คุณพูดว่าคุณจะทำ จงทำให้ได้ เมื่อนั้นคำพูดคุณจะเป็นดั่งกฎหมายที่คุณเคารพ เมื่อนั้นคุณจะเกิดความศรัทธาในตนเองอย่างแท้จริง
- ลองทำสิ่งใหม่ๆบ้าง ถ้ามัวแต่ทำสิ่งที่คุณเคยทำเดิมๆคุณก็จะได้สิ่งเดิมๆเสมอๆ คนที่กล้าเสี่ยงจะถามว่า “ถ้าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น เราจะรับมือกับมันไหวมั้ย” ถ้าคำตอบคือ “ไหวสิ” พวกเขาก็ลงมือทำ นี่คือเคล็ดลับของการเสี่ยงไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
- ความมุ่งมั่นมิใช่การภาวนาขอสิ่งต่างๆ แต่เป็นการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ภายในใจว่า คุณจะทำทุกอย่างเพื่อทำสิ่งที่คุณปรารถนานั้นให้สำเร็จ
8. หากคุณต่อสู้ชีวิต ชีวิตจะชนะเสมอ
- ฉันจะทำใจให้สงบได้อย่างไร? 1.มองโลกในแง่ดี 2.ฝึกคลายเครียดทางใจให้เป็นกิจวัตร
- คุณจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจากคนที่มีจิตใจสงบ พวกเขาแต่ละคนสร้างวินัยที่จะรักษาดุลยภาพทางจิตทุกๆวัน บางคนสวดมนต์ บางคนฝึกนั่งสมาธิ แต่ละคนจะหาสถานที่เงียบสงบ เมื่อพวกเขาสำรวจดูจิตภายในของตนเอง พวกเขาจะสามารถเห็นสิ่งต่างๆภายนอกตัวเองได้
- การทำสมาธิจะมอบเวลากลับคืนให้กับคุณมากกว่าเวลาที่คุณใช้ไปในการทำสมาธินั้น ลองมองการทำสมาธเป็นการ”ปรับ”ตัวคุณเอง ใช้เวลา 20 นาที/วัน เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของตัวคุณเอง
- การมีสติอยู่เสมอ: พวกเราส่วนใหญ่ตระหนักดีว่าการอยู่กับปัจจุบันนั้นยากเพียงใด เวลาส่วนใหญ่ของเรานั้นใช้ไปกับการเศร้าเสียใจในอดีต หรือไม่ก็หวาดหวั่นกับอนาคต การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันเหมือนกับกาไต่เชือกกายกรรม คุณอาจพลัดตกจากเชือกเอาง่ายๆ แต่หากฝึกฝน คุณจะสามารถรักษาสมดุลได้นานยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณต้องการฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบัน มีอยู่ 2 วิธีที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
- 1. ใช้เวลานานเท่าที่คุณต้องการ เพื่อทำสิ่งต่างๆที่คุณต้องการ ปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ การยืนยันกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ฉันมีเวลาเหลือเฟือ” มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกคุณ
- 2. ฝึกการรับรู้แบบสุนัข สุนัขสังเกตทุกอย่าง พุ่มไม้ทุกพุ่ม ดอกไม้ทุกดอก ทุกอย่างเป็นปรสบการณ์ใหม่สำหรับสุนัขเสมอ สุนัขนั้นอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเราฝึกได้ เราจะสังเกตเห็นว่าจิตเราแอบหนีไปเที่ยวเสมอๆ
9. คุณควรจะรักผู้อื่นอย่างไร เพียงยอมรับอย่างที่พวกเขาเป็นก็พอ
- เราเกิดมาเพื่ออะไร? ถ้ามีคนถามว่า “เป้าหมายของการมีชีวิตคืออะไร?” คุณจะตอบว่าอะไรหรือครับ เรารู้ว่าคนมีความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่บางครั้งเราเผลอไผลและไปให้ความสำคัญกับวัตถุมากเกินไป บ่อยแค่ไหนที่เราต้องรอให้เกิดเรื่องเศร้าเสียก่อน เราจึงค่อยได้สติว่าสิ่งสำคัญในีวิตนั้นคืออะไร ดังนั้นหากคำถามที่ว่า “เราเกิดมาเพื่ออะไร” จะเข้าท่ากว่าไหมที่จะตอบว่า “เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ที่จะรักผู้อื่น”
- หากเราซื่อสัตย์กับตัวเองล่ะก็ แทบจะทุกอย่างที่เราทำนั้น เป็นการทำเพื่อที่จะได้รับความรักมากขึ้น
- การรักคนทั้งหลายนั้น คุณไม่ต้องไปกอดจูบทุกคน เพียงแค่คุณวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นให้น้อยลง ปล่อยให้พวกเขาใส่เสื้อผ้าที่พวกเขาชอบ ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเขาต้องการ และเป็นคนอย่างที่พวกเขาอยากเป็นโดยไม่ไปติเตียนใดๆ นั่นแสดงว่าคุณได้ให้ความรักแก่พวกเขาแล้ว
- การให้อภัย: พวกเราส่วนใหญ่เติบโตมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่า เราสามารถลงโทษคนอื่นโดยการปฏิเสธที่จะให้อภัยพวกเขา การทำให้คนอื่นรู้สึกผิดนั้นทำให้คุณปวดร้าวไปด้วย มีแต่คุณเองนั่นแหละที่กำลังถูกทำลาย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่มันเป็น
10. ภารกิจในชีวิตคุณมิใช่การเปลี่ยนแปลงโลก ภารกิจของคุณคือการเปลี่ยนแปลงตนเอง
- โลกเราเป็นดั่งกระจกเงา สิ่งที่คุณรู้สึกอยู่ภายในนั้นจะสะท้อนออกมาให้เห็นภายนอก นั่นเป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรคุณจึงไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตจากสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกได้ หากผู้คนบนท้องถนนดูไม่เป็นมิตร การเปลี่ยนเส้นทางเดินก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากคนที่ทำงานไม่ให้เกียรติคุณ การเปลี่ยนงานก็ไม่ช่วยแก้ปัญหานั้นหรอก ในความสัมพันธ์ใดๆก็ตาม การพยายามเปลี่ยนแปลงตัวคุณเองนั้นย่อมได้ผล ส่วนการพยายามเปลี่ยนคนอื่นนั้นยากจะบังเกิดผล
- ความหมายของชีวิตนั้นอยู่ในปัจจุบัน การได้อยู่”ตรงนั้น” มิได้ดีไปกว่า”อยู่ตรงนี้”หรอกครับ หากคุณต้องการค้นพบความหมายของชีวิต จงให้ความใส่ใจกับปัจจุบัน และปัจจุบันนี้นี่แหละครับที่คุณจะได้พบรางวัลแห่งชีวิต
และนี่คือบทสรุปอย่างละเอียดของหนังสือ Follow Your Heart ก้าวไปตามในฝัน! โดย Andrew Matthews ครบทั้ง 10 ข้อ และได้สรุปเป็น podcast เอาไว้ด้วยครับ ผมบอกได้เลยว่า หนังสือเล่มนี้ เปลี่ยนชีวิตผมเลย
แล้วคุณล่ะครับ ได้อะไรจากบทสรุปหนังสือเล่มนี้บ้าง? ช่วยแชร์ให้ฟังโดยพิมพ์ comment ตอบผมหน่อยครับ
Hi สวัสดีอย่างเป็นทางการค่ะคุณไว เมื่อวันว่างที่ต้องค้นหาข้อมูลบางอย่างที่ต้องการไปเรื่อยเปือยตามประสาที่รับวันหยุด 3 วันนี้(เทศกาลวันแม่) ก็เป็นอันมาสะดุดกึกที่แนวคิดหลากหลายความคิดที่คุณเขียนไว้เป็นหัวข้อๆ ให้เลือกอ่าน โดนเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะ Follow your Heart ทำตามความฝัน ดิฉันประทับใจการเขียนบทสรุปให้อ่านโดยผ่านทัศนคติหรือมุมมองของคุณ เป็นประโยชน์และได้สาระอย่างเต็มๆ ดีออกค่ะ ดิฉันปริ้นออกมาเกือบทุกหัวข้อเพื่อไว้อ่าน ดิฉันขอติดตามงานเขียนที่คุณโพสทิ้งไว้นะคะ อย่าคิดว่าไม่มีคนอ่าน ข้อคิดคำแนะนำดีๆอย่างนี้ ไม่คิด ไม่ทำตามก็เหมือนจะโง่มากละสิ ดิฉันกำลังจะเปิดตัวธุรกิจเล็กๆที่บ้าน เลยค้นหาดะว่าใครเขามีแนวคิดไอเดียอะไรดีๆ เจ๋งๆ ก็ขอจดเอาไว้ โน่นนี่นั่นก็ขอบไปเสียทั้งหมด แต่บทความหรือข้อมูลสรุปของคุณดิฉันเอาเป็นแม่แบบเลยล่ะคะ เอาเป็นว่าถ้าคุณไปอ่านพบอ่านเจอหรือมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องอะไร กรุณาโพสลงเลยนะคะ ดิฉันต้องการอย่างมากที่จะได้อ่านมันโดยผ่านมุมมองของคุณ ประเทืองปัญญาดิฉันมากจริงๆ เพลิดเพลินสนุกสนาน ไม่เพลิดเพลินเป็นจินตนิยายจนเกินไป อยู่ในโลกของความเป็นจริงซะมากกว่า เพราะข้อมูลอย่างนี้ล่ะ คนอ่านสามารถนำไปแนนวทางในการปฏิบัติได้ จะเข้ามาอ่านงานของคุณเรื่อยๆ เพราะขอบมาก ดูๆ ประวัติแล้วเป็นผู้มีความรู้แตกฉานทีเดียว โอกาสหน้าอาจขอคำแนะนำจากคุณก็ได้ ขอบคุณอีกครั้งในข้อมูลที่ดีมากๆ ที่เมตตาโพสแชร์ให้ผู้คนได้อ่านเพื่อเป็นวิทยาทาน…yaya
yaya.thai@yahoo.com
LikeLike
ดีใจครับที่ Blog waiwaiworld.com ที่ผมเขียนมีประโยช์กับผู้คน วันนี้ได้อีกหนึ่งกำลังใจสำคัญจากผู้อ่าน ขอบคุณคุณ yaya นะครับที่เข้ามาให้ feedback และให้กำลังใจกันครับ 🙂
LikeLike
มีประโยชน์มากๆครับ ผมรู้สึกโชคดีจริงๆที่ได้อ่าน 🙂
LikeLike